แต่แน่นอนว่า การเรียนแกรมม่าภาษาอังกฤษ มักมีข้อยกเว้นครับ เพราะคำบางคำสามารถใช้ใน Continuous Tense ได้ เช่น คำอย่าง Become ครับ เวลาเราใช้ในรูปแบบของ Continuous เราต้องการเน้นย้ำเรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น
- She is becoming more confident every day. เธอเริ่มมีความมั่นใจขึ้นในทุกๆ วัน (สิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องคือ ความมั่นใจของเธอเพิ่มขึ้น นั่นเองครับ)
แต่ถ้าเราใช้ Become ในรูปแบบทั่วไป เราจะใช้ในกรณีที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรครับ เช่น
- She became a doctor last year. (ความเปลี่ยนแปลงด้านอาชีพที่ค่อนข้างถาวร)
3. Linking Verb ไม่มีกรรมตรง (Direct Object)
เนื่องจาก Linking Verb ทำหน้าที่เชื่อมประธานกับส่วนขยายประธานเข้าด้วยกัน Linking Verb จึงไม่มีกรรมตรงในประโยค ซึ่งแตกต่างจากคำกริยาภาษาอังกฤษหลายๆ ตัวที่ต้องมีกรรมตรงในประโยค
ตัวอย่าง
- She looks gorgeous. (ไม่มีกรรม มีแต่ส่วนขยายประธาน Gorgeous)
- She plays a game. (มีกรรม คือ a game)
อย่างไรก็ดี การจำแค่หลักการใช้ Linking Verb แบบนี้จะทำให้เราพลาดได้ง่ายๆ ครับ เพราะว่า Verb หลายๆ ตัวสามารถเป็นได้หลากหลายประเภท นั่นแปลว่า Verb บางตัวอาจเป็นได้ทั้ง Linking Verb และ Action Verb ครับ ซึ่งนั่นนำไปสู่สิ่งที่ถัดไปที่ผมอยากพูดถึง นั่นก็คือข้อควรระวังในการใช้ Linking Verb ครับ
ข้อควรระวังในการใช้ Linking Verb
1. Linking Verb กับ Action Verb
คำกริยาภาษาอังกฤษบางคำสามารถเป็น Linking Verb และ Action Verb ได้ เช่น Appear, Look, Smell, Go, Taste, Stay, Fell, Get, Turn
ถ้า Linking Verb ทำหน้าที่เป็น Action Verb ในประโยค คำตามหลัง Linking Verb ต้องตามด้วยกรรมตรง (Direct Object) เช่น Noun, Adverb, Prepositional Phrase. ซึ่งแตกต่างจากปกติที่ Linking Verb จะต้องตามด้วยส่วนขยายประธาน เพื่อบอกข้อมูลเกี่ยวกับประธาน เช่น Noun และ Adjective
ตัวอย่างที่ผมชอบใช้คือคำว่า Look ครับ เช่น
- Jasper looked at me in a weird way. (Action verb “Looked” ในที่นี้คือการมองครับ)
- She looked beautiful in that wedding dress. (Linking verb “Looked” ในตัวอย่างนี้มีความหมายในเชิง “มุมมอง” ว่า “เธอดูสวยในชุดแต่งงาน” ครับ)
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ตามหลังประโยคแรกคือ Prepositional phrase (at me) ส่วนประโยคที่สองคำที่ตามหลังคือ Beautiful เป็น Adjective ขยายประธาน She นั่นเองครับ
2. Linking Verb กับ Stative Verb
Linking Verb หมายถึง คำกริยาที่เชื่อมประธานเข้าส่วนขยายประธาน ในขณะที่ Stative Verb เป็นคำกริยาแสดงสภาวะที่เกี่ยวกับความรู้สึก, ความคิด, ประสาทสัมผัส, สภาวะความเป็นอยู่ ไปจนถึงมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ซึ่ง Linking Verb สามารถเป็น Stative Verb ได้ แต่ไม่ใช่ Stative Verb ทุกคำจะเป็น Linking Verb
ตัวอย่าง Linking Verb ที่สามารถเป็น Stative Verb ได้ คือคำว่า Look ครับ (Look อีกแล้วหรอ !!)
ซึ่งการที่มีคำว่าอย่าง Look ที่สามารถเป็นได้ทั้ง Linking Verb และ Stative Verb ทำให้หลายๆ คนมักสับสนวิธีใช้อย่างมากครับ แต่ถ้าถามว่าแยกความแตกต่างได้ไหม? คำตอบคือได้ครับ ลองดูตัวอย่างนี้กัน
- Stative Verb ที่เป็น Linking Verb: She looks tired. (“looks” เชื่อมประธาน “She” เข้ากับ adjective “tired.” ที่ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายประธาน)
- Stative Verb ที่ไม่เป็น Linking Verb : Jasper knows the answer. (“knows” ในที่นี้เป็น Action Verb ทำหน้าที่บอกการกระทำของประธาน )
นอกจากความหมายของประโยคแล้ว สิ่งที่ทำให้ Look ใน 2 ประโยคแตกต่างกันอยู่ที่โครงสร้างประโยคครับ ประโยคที่ looks เป็น Linking Verb นั้น คำที่ตามหลัง looks คือ adjective ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายประธาน Subject complement ในขณะที่คำตามหลัง looks ในประโยคที่สองเป็นกรรมตรง (Direct Object) นั่นเอง
3. ระวังเรื่องการใช้ Adverb กับ Linking Verb
เนื่องจาก Linking Verb ไม่ได้ทำหน้าที่บอกการกระทำของประธาน เราจึงห้ามใช้ Adverb หลัง Linking Verb ครับ
อย่างไรก็ดี จากประสบการณ์ของผม เรามักจะถูกสอนเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคประมาณว่า ประธาน + กริยา + กรรม อยู่บ่อยๆ ใช่ไหมครับ นั่นทำให้บางทีเราเผลอใช้ Adverb ไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่จริงๆ ยังมีโครงสร้างประโยคแบบอื่นๆ อีก (ในที่นี้คือ Subject + Linking Verb + Subject complement)
ตัวอย่าง