Sentence Fragment กับ Run-on sentence และ Comma splice เล่าละเอียดยิบ ข้อผิดพลาดสุดฮิต ต้องรีบแก้!

เลือกอ่านตามหัวข้อ

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้เราเขียน Essay ได้ถูกต้อง เป๊ะตามหลัก Grammar ไม่มี Fragment ไม่มี Run-on sentence ไม่มี Comma splice?

ผมเชื่อว่าเราทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ อยากเขียน essay ให้ได้คะแนนดีๆ ถูกหลัก Grammar แบบที่กรรมการหาจุดจับผิดไม่เจอ เพื่อที่จะได้คะแนนดีในพาร์ท Writing แน่ๆ

แต่แน่นอนว่าการเขียนให้ถูกหลัก Grammar นั้นยากและน่าสับสนสุดๆ อะไรคือ Fragment อะไรคือ Run-on sentence แล้วยังมีเรื่อง Comma splice อีก บางครั้งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมประโยคนี้ถึงผิดหลัก Grammar ทำไมไม่มีใครอธิบายแบบลงลึกให้ฟังสักที และด้วยการเรียนแบบ “ไทยๆ” ทำให้เราไม่เข้าใจเรื่องการเขียนให้ถูกหลักไวยากรณ์สักที

ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เจอกับปัญหาเรื่องนี้ และก็ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้

ดังนั้นวันนี้ผมเลยอยากจะมาเสนอวิธีที่ช่วยให้เราเขียน essay แบบไร้ที่ติ ไม่มีจุดผิดด้าน Grammar อีกต่อไป แน่นอนว่ามันอาจจะยาวสักนิดนึง แต่ผมเชื่อว่าการเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าจะช่วยให้เราเขียน essay ได้ดีขึ้นมากๆ ครับ

ถ้าทุกคนอ่านมาถึงตรงนี้ ผมจะอนุมานไว้ก่อนเลยว่าคำตอบ คือ “ใช่ ฉันพร้อมที่จะเรียนรู้แล้ว บอกมาเลย!” 

วันนี้ Jasper & Reader จะแชร์เกี่ยวกับ “พื้นฐานสำคัญ” เกี่ยวกับกับ 3 ข้อผิดพลาดสำคัญต้องรีบแก้ทันทีในเรื่องการเขียน essay ฉบับคนไทยอ่านสบายๆ ครับ จะเป็นยังไงบ้าง มาดูกันเลย!

Sentence fragment คืออะไร?

Sentence Fragment คือ กลุ่มคำที่ขาดองค์ประกอบสำคัญ นั่นก็คือ ประธาน หรือ กริยา หรือ กรรมในกรณีที่กริยาในประโยคต้องการกรรม ซึ่งทำให้กลุ่มคำเหล่านี้ไม่ใช่ประโยคที่สามารถสื่อสารใจความได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง ตัวอย่าง Sentence fragment เช่น 

Past Simple Past Continuous
Form verb + -ed was/were + verb + -ing
Use to describe a completed action at a specific time in the past to describe an action that was in progress at a specific time in the past
Example "I watched a movie last night." "I was watching a movie when she called."

Improving my grammar and vocabulary

จะเห็นได้ว่า ประโยคข้างบนไม่มีประธาน เราจึงไม่สามารถนับได้ว่าเป็นประโยค และเมื่อไม่ใช่ประโยคก็ไม่สามารถอยู่เดี่ยวๆ แบบนี้ได้ แต่ต้องอยู่คู่ประโยคหลักแบบตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ

Improving my grammar and vocabulary, my score on the English exam increased significantly.

ดูแล้ว Sentence Fragment ก็ไม่เห็นยากเลยนี่หน่า แต่ช้าก่อนครับ Sentence Fragment เป็นสิ่งที่ดึงคะแนน essay เราแบบเงียบๆ เลยครับ แถมยังเป็นสิ่งที่ดูยากมากๆ ถ้าเรามีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ไม่ได้แข็งแรงมากนัก และยิ่งในห้องสอบที่เราไม่ได้มีเวลาตรวจเช็คการเขียนของเรามาก ยิ่งทำให้ดูยากเข้าไปใหญ่ ลองดูตัวอย่างนี้ครับ

The pizza eaten

ถามว่าอันนี้ถ้าดูเร็วๆ มีครบแน่นอน ประธานคือ Pizza และกริยา คือ Eaten แต่ถ้าดูจริงๆ ประโยคนี้เป็น Fragment นะครับ เพราะไม่มีกริยานั่นเอง

เอ๊ะ แล้ว eaten ไม่ใช่กริยาหรอ? คำตอบคือเป็นกริยา แต่ใช้ไม่ถูกหลัก Grammar ครับ เพราะ Eaten เป็น Verb ในรูปแบบ Past participle หรือที่เรามักชอบเรียกว่า Verb ช่อง 3 ที่ถูกใช้ในกับรูปแบบประโยค Passive voice ครับ

นอกจากนี้ Pizza ไม่สามารถมีกริยาได้ด้วยตัวมันเอง เช่น เดิน หรือ กิน ดังนั้นต้องใช้ในรูป Passive voice แบบนี้ครับ

The pizza was eaten

Run-on sentence คืออะไร?

Run-on sentence คือ ประโยคหลักสองประโยคที่รวมเข้าด้วยกันโดยไม่ผ่านการใช้เครื่องหมายวรรคตอน หรือ Punctuation อย่างถูกต้อง ทำให้ประโยคที่เขียนผิดหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ บางครั้งเราจะเรียก Run-on sentence ว่า fused sentence ครับ

ตัวอย่าง Run-on sentence เช่น

Learning English is a valuable skill it opens up many opportunities in business.

ดูดีๆ ประโยคนี้เหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วผิดหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และถูกนับว่าเป็น Run-on sentence ครับ เพราะเรามีสองประโยคหลักรวมกัน นั่นก็คือ Learning is a valuable skill กับ it opens up many opportunities in business ซึ่งตามหลักไวยากรณ์ไม่สามารถทำได้ครับ

Run-on sentence เป็นอะไรที่หลอกหลอนตัวผมเองมานานมากๆ ครับ และผมเชื่อว่าหลายๆ คนเองก็มีปัญหาเหมือนกัน เนื่องด้วยธรรมชาติของภาษาไทยที่มีลักษณะการเขียนแบบเรื่อยๆ และไม่ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า เครื่องหมายวรรคตอน หรือ Punctuation แบบภาษาอังกฤษ ทำให้ Run-on sentence เป็นอะไรที่คนไทยโดนกับบ่อยมากๆ 

สิ่งที่เราควรทำคือการใส่ Period หรือที่เราเรียกกันว่าจุด Full stop เพื่อเป็นการบอกว่าจบประโยคแล้วนะ แต่สิ่งที่คนไทยเราชอบทำคือ การใส่ comma ครับ (ผมเองก็ไม่รู้จนกระทั่งเข้าใจพื้นฐานครับ) ซึ่งทำให้ผิดหลักไวยากรณ์ที่เราเรียกว่า Comma splice ครับ

Comma splice คืออะไร?

Comma splice คือ การเชื่อมประโยคหลักสองประโยคเข้าด้วยกันด้วยการใช้ comma เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นข้อผิดทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เช่น Learning English requires dedication and practice, it’s a process that takes time.

Comma splice นั้นคล้ายคลึงกับ Run-on sentence มากๆ ครับ สิ่งที่แตกต่างมีเพียงแค่ Run-on sentence ไม่มีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างถูกต้อง ในขณะที่ Comma splice เกิดขึ้นเพราะใช้ comma ในการเชื่อมประโยคหลักสองประโยคเข้าด้วยกันโดยไม่ใช้คำสันธานภาษาอังกฤษครับ

พื้นฐานสำคัญช่วยแก้ Fragment sentence, Run-on sentence, และ Comma splice

อย่างที่ผมได้เล่าไปในช่วงแรก คนไทยเรามีการสอนภาษาอังกฤษแบบ “ไทยๆ” ซึ่งสำหรับผมคือ การสอบแบบแยกๆ ไม่ได้มีการเชื่อมโยงแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน 

อย่างเช่นเรื่อง Tense ที่เราใช้เวลาเป็นเทอมๆ เรียนแยกกัน เช่น Present tense เรียนเทอม 1 Past tense เรียนเทอม 2 ซึ่งทำให้เราจำอะไรแบบแยกๆ มาโดยตลอด และด้วยวัฒนธรรมของประเทศเราหลายๆ อย่างทำให้คนไทยไม่ค่อยกล้าใช้ภาษาอังกฤษมากนัก ไม่ว่าจะพูดหรือเขียน

ดังนั้นเราหลายๆ คน และตัวผมเองถึงได้มีปัญหากับการเขียนภาษาอังกฤษมากๆ และทำให้ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เรียกว่า Fragment sentence, run-on sentence หรือ comma splice มาก่อน 

ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนควรจะมีพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้เราไม่ผิดพลาดเรื่องนี้ไม่ว่าจะเขียนเพื่อสอบ หรือ เพื่ออะไรก็ตาม เราสามารถเขียนภาษาอังกฤษได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ได้ครับ ผมรวบรวมไว้ 4 เรื่องที่จะช่วยให้เราเขียนได้ดีขึ้นมากๆ ไปดูกันเลยครับ

1. Independent clause กับ dependent clause 

เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ ของการเขียน Writing เลยครับ การเข้าใจเรื่อง Independent clause กับ dependent clause ช่วยให้เราไม่พลาดเรื่อง Sentence fragment Run-on sentence และ Comma splice แต่เรื่องนี้กลับเป็นปัญหามากที่สุดสำหรับคนไทยเรื่องนึงเลยครับ

เวลาที่ผมพูดว่า “ประโยคหลัก” ผมมักจะหมายถึง Independent clause ครับ ซึ่ง Independent clause คือ ประโยคที่สามารถสื่อสารใจความได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งมักจะประกอบด้วยประธานและกริยา โดยคำว่า Independent แปลเป็นไทยจะแปลว่า “อิสระ” ดังนั้น ประโยคนี้สามารถสื่อสารได้ไม่ต้องพึ่งพาประโยคอื่น เช่น I sleep ครับ

ดูแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรใช่ไหมครับ แต่ตอนนี้เรามาถึงจุดยากกันแล้วครับ นั่นก็คือ dependent clause นั่นเอง

Dependent clause คือ สิ่งที่ผมมักจะพูดในบทความบ่อยๆ ว่า มันคือ “ประโยคย่อย” ครับ นั่นเป็นเพราะว่า dependent clause เป็นประโยคที่มีทั้งประธาน และกริยา แต่ไม่สามารถสื่อใจความได้ด้วยตนเอง

คำว่า dependent แปลว่า “ขึ้นอยู่กับ” หรือ “พึ่งพา” ดังนั้น dependent clause จึงเป็นประโยคที่ไม่สามารถอยู่เดี่ยวๆ ได้ด้วยตนเอง แต่ต้องพึ่งพาประโยคหลักอย่าง Independent clause เพื่อให้สามารถสื่อสารใจได้อย่างสมบูรณ์ครับ

Because I love study English

(เพราะฉันรักการเรียนภาษาอังกฤษ…)

จะเห็นได้ว่าประโยคนี้เหมือนขาดอะไรไปบางอย่างครับ

ดังนั้น ผมจึงเรียก dependent clause ว่าเป็นประโยคย่อย ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยคหลักครับ

ซึ่งถ้าอ่านมาถึงตรงนี้น่าจะพอเดาได้แล้วว่า เจ้า Dependent clause เมื่ออยู่เดี่ยวๆ จะกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันมากๆ นั่นก็คือ Sentence Fragment นั่นเองครับ

2. Part of speech และการลดรูปประโยคของ Dependent clause

ในกรณีนี้ อธิบายด้วยตัวอย่างจะเข้าใจง่ายที่สุดครับว่าทำไมถึงเป็นปัญหา

The course at the school focusing on advanced grammar and vocabulary.

ถามว่าประโยคนี้ถูกหลักไวยากรณ์ไหมครับ? และถ้าผิด ผิดเรื่องไหน ระหว่าง Sentence Fragment, Run-on sentence, และ Comma splice 

คำตอบ สิ่งนี้คือ Sentence fragment ครับ ซึ่งหน้าตาเหมือนกับ Run-on sentence มากๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ดูแทบไม่ออกเลยครับว่าประโยคนี้ผิดหลักไวยากรณ์

ความกำกวมในลักษณะแบบนี้เป็นปัญหามาก และผมใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจ ซึ่งผมจะพยายามช่วยทุกคนให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นเองครับ

ประโยคข้างบนคือ Sentence Fragment เพราะไม่มีกริยาหลัก หรือ Main verb ครับ แต่ อ้าว! แล้ว focusing ไมใช่หรอ คำตอบคือไม่ใช่ครับ และนี่คือสิ่งที่เราต้องรู้นั่นก็คือเรื่องการลดรูปประโยคของ dependent clause ครับ

Focusing on advanced grammar and vocabulary เป็น dependent clause ประเภทที่เราเรียกว่า Relative clause ครับ ซึ่งมีความสามารถในการลดรูปประโยคได้ครับ โดยประโยคเต็มจริงๆ ของ Sentence fragment นี้จะเป็นแบบนี้ครับ 

The course at the school, which focuses on advanced grammar and vocabulary.

Which focuses on ถูกลดรูปกลายเป็น focusing ซึ่งเป็น Participial phrase ทำให้เราเข้าใจผิดว่านี่เป็นคำกริยานะ แต่หน้าที่ของ Relative clause คือ ประโยคที่ทำหน้าเป็น Adjective ขยายคำนามในประโยคครับ อธิบายแบบนี้อาจจะเข้าใจยาก ผมลองระบายสีให้ดูน่าจะง่ายกว่าครับ

ประโยคสีฟ้าอ่อนคือประธาน และประโยคสีฟ้าที่เข้มกว่าเป็น Relative clause ทำหน้าที่เป็น Adjective ขยายประธานครับ

The course at the school, which focuses on advanced grammar and vocabulary.

ดังนั้นประโยคนี้จึงยังขาดคำกริยาหลักไปนั่นเอง และทำให้กลายเป็น Sentence fragment ซึ่งกลับไปสู่พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของภาษาอังกฤษนั่นก็คือเรื่อง Part of Speech ครับ

เรารู้ว่า Adjective ต้องทำหน้าที่ขยายคำนาม (Noun) แต่เรากลับไม่รู้เลยว่าประโยคทั้งประโยคสามารถทำหน้าที่เป็น Adjective ได้ด้วย ดังนั้นต้องระวังไว้ให้ดีๆ ครับ Adjective ไม่ใช่แค่คำ แต่อาจเป็นประโยคทั้งประโยคแบบนี้เลยก็ได้

3. การใช้ Conjunction และ Punctuation

สิ่งที่ทำเกิด Run-on sentence และ Comma splice คือ การที่เราไม่รู้เกี่ยวกับอีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญ นั่นก็คือ Conjunction และ Punctuation ครับ

Conjunction คือ คำสันธานภาษาอังกฤษที่สามารถเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกันได้ เหมือนกับคำว่า “เพราะ” “ดังนั้น” “หรือ” ในภาษาไทยนั่นเองครับ

การใช้ Conjunction มักใช้ร่วมกับเครื่องหมายวรรคตอน ซึ่งในภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Punctuation ครับ เช่น Comma หรือ Semicolon เพื่อเชื่อม “ประโยคหลัก” กับ “ประโยคหลัก” หรือ “ประโยคย่อย” กับ “ประโยคหลัก” เข้าด้วยกัน เห็นอะไรไหมครับ? มันคือ Independent clause กับ dependent clause นั่นเอง

หลายๆ ครั้ง สิ่งที่ทำให้เกิด Run-on sentence และ Comma splice คือ เราไม่เข้าใจเรื่องการเชื่อมประโยคนั่นเองครับ เช่น 

Learning English is a valuable skill it opens up many opportunities in business. 

Learning English is a valuable skill, it opens up many opportunities in business.

สิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ประโยคนี้ไม่เป็น Run-on sentence และ Comma splice นั่นก็คือใช้เครื่องหมายวรรคตอน หรือ ใช้ Conjunction ให้กลายเป็นประโยคแบบด้านล่างครับ

Learning English is a valuable skill. It opens up many opportunities in business.

Learning English is a valuable skill; it opens up many opportunities in business.

Learning English is a valuable skill and opens up many opportunities in business.

4. Sentence structure

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมากๆ ก็คือ โครงสร้างประโยค หรือ Sentence structure ครับ

Sentence structure เป็นโครงสร้างประโยค 4 ชนิด ได้แก่ Simple sentence, Complex sentence, Compound sentence และ Compound-complex sentence

1. Simple sentence ประกอบด้วยหนึ่งประโยคหลัก หรือ Independent clause นั่นเองครับ เช่น I study

2. Compound sentence ประกอบด้วยประโยคหลักที่มีจำนวนมากกว่าหรือเท่ากับ 2 ประโยคขึ้นไป ซึ่งจะต้องใช้ Conjunction ประเภทที่เรียกว่า Coordinating conjunction เช่น So, And ในการเชื่อมประโยคครับ เช่น I study grammar, so I can get a better grade.

3. Complex sentence ประกอบด้วย 1 ประโยคหลักและ 1 ประโยคย่อยครับผ่านการใช้ Conjunction ประเภทที่เราเรียกกันว่า Subordinating conjunctions เช่น before after because หรือ Relative pronoun เช่น who, which ที่ทำหน้าที่คล้ายกับคำเชื่อมเพื่อเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน เช่น I study Grammar because my grade is too low.

4. Compound-complex sentence พูดง่ายๆ เลยก็คือเป็นประโยคที่มีทั้ง Compound และ Complex sentence ในตัวเอง เช่น Somsri love self-studying English because it really effective, but Somsak doesn’t.

ถามว่า รู้โครงสร้างประโยคทั้ง 4 ประเภทนี้ช่วยอะไรได้บ้าง?

ผมว่าอย่างแรกเลยคือเราจะสามารถตรวจดูได้ทันทีว่า ประโยคที่เราเขียนอันไหนเป็น Comma splice บ้าง เช่น ถ้าเราอยากจะทำ Compound sentence ต้องอย่าลืมเติม Coordinating Conjunction นะ อย่าใส่ comma เฉยๆ 

หรือถ้ากรณี Run-on sentence เราก็สามารถดูออกว่า เราควรเติมเครื่องหมายวรรคตอนไหม เพื่อให้ประโยคเป็น Simple sentence ก็พอ หรือ ใส่ Conjunction เพื่อให้กลายเป็นประโยคประเภทอื่นๆ นั่นเองครับ

ทั้งสามเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเขียน essay ได้แบบไร้จุดผิด Grammar แล้วครับ ทีนี้เรามาลองดูตัวอย่างวิธีการใช้ฉบับเต็มๆ แยกหัวข้อกันเลยดีกว่าครับ 

Fragment sentence ตัวอย่าง และวิธีแก้ไข

1. Sentence fragment ที่ขาดประธาน

ตัวอย่าง Sentence fragment

Speaking fluently with native English speakers, who can provide valuable feedback and insight.

เราลองมาวิเคราะห์กันทีละส่วนครับ

“Speaking fluently with native English speakers” เป็น participial phrase ทำหน้าที่เป็น adjective ขยายคำนาม “native English speakers.”

และในประโยคนี้มี relative clause “who can provide valuable feedback and insight” ที่ทำหน้าที่ขยาย “native English speakers” แต่ถ้าถามว่าประโยคนี้มีประธานจริงๆ ไหม คำตอบคือยังไม่มีครับ

วิธีแก้ไข Sentence Fragment: เติมประธานเข้าไปในประโยค เช่น 

Speaking fluently with native English speakers, who can provide valuable feedback and insight, , [has been shown to be an effective way to improve one’s English proficiency.]

[I enjoy] speaking fluently with native English speakers, who can provide valuable feedback and insight.

แน่นอนว่าความหมายจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยครับ อย่างกรณีนี้ ผมเปลี่ยน Speaking fluently with native English speakers เป็นประธานแทนในรูปแบบของ Gerund

และในประโยคที่สองเพิ่มประธาน I ขึ้นมา และเพิ่มกริยา enjoy เข้ามา ทำให้ส่วนที่เหลือกลายเป็นกรรมในประโยคแทนนั่นเอง

แต่ท้ายที่สุดแล้ว การแก้ Fragment เหล่านี้ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะสื่ออะไร (หรือข้อสอบต้องการอะไรจากเราครับ)

2. Sentence fragment ที่ขาดกริยาหลัก (Main Verb)

ตัวอย่าง Sentence fragment

The man wearing a hat you saw yesterday at the library.

ดูแทบไม่ออกเลยใช่ไหมครับว่านี่คือ Sentence fragment ครับ ก็ดูมี Verb นี่ wearing เอย saw เอย ทำไมถึงยังเป็น Fragment อยู่ละ สิ่งที่ขาดไปจริงๆ คือ Main verb หรือกริยาหลักของประโยคหลักครับ

เรามาวิเคราะห์กันทีละตัวเลย ผ่านพื้นฐานเรื่อง Part of speech และ dependent clause ที่เราเรียนกันมาตอนต้นครับ

ประโยคนี้จริงๆ ทั้งประโยค แล้วมีแค่ประธาน The man ที่มี phrase “wearing a hat” เข้ามาทำให้กลายเป็น Noun phrase ทำหน้าที่เป็นประธาน จึงกลายเป็น “The man wearing a hat” ครับ 

ในขณะที่ “you saw yesterday at the library” เป็น relative clause ที่ถูกลดรูปจาก “who you saw yesterday at library” ที่ทำหน้าที่เป็น Adjective ของประโยคนี้ครับ 

จำเรื่อง Part of speech ที่เราผมเล่าเมื่อตอนต้นได้ไหมครับ

The man wearing a hat คือ ประธาน และ you saw yesterday at the library เป็น Adjective แค่มันหน้าตาเหมือนประโยคเฉยๆ แต่ adjective ยังคงทำหน้าที่เดิมของมันตามกฏของ Part of speech นั่นก็คือการขยายคำนาม ดังนั้นประโยคนี้จริงๆ แล้วจึงยังเป็น Fragment และไม่มีกริยานั่นเองครับ

ประโยคที่ถูกต้องสามารถเป็นได้หลายอย่าง ขอแค่เราเติมกริยาหลักเข้าไป เช่น 

The man wearing a hat you saw yesterday at the library [was] my friend.

You [saw] the man wearing a hat at the library yesterday

3. Sentence fragment ที่เป็นประโยคย่อย Dependent clause แบบอยู่เดี่ยวๆ

อันนี้ถือว่าเป็นกรณีของ Sentence fragment แบบง่ายที่สุดแล้วครับ ถ้าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับ dependent clause

ตัวอย่าง Sentence Fragment: Because I finish work than expected.

วิธีแก้ไข Sentence Fragment ในกรณีนี้ คือ หาประโยคหลัก (Independent clause) ที่เหมาะสมแล้วเชื่อมเข้าด้วยกันเพื่อทำให้กลายเป็น Complex sentence 

Because I finish work earlier than expected, [I can rest for now.]

Run-on sentence ตัวอย่าง และวิธีแก้ไข

มาถึงจุดที่ทุกคนอยากรู้กันแล้วครับ วิธีแก้ไขด้วยพื้นฐานที่เราอ่านกันมาจนถึงตรงนี้ ผมรวบรวมมา 5 วิธีจากพื้นฐานสามอย่างข้างต้นที่จะช่วยให้เราไม่พลาดเรื่อง run-on sentence อีกต่อไปครับ

1. ใช้จุด Full stop เพื่อแบ่งประโยค 

อย่างที่เรารู้กัน แทนที่เราจะเขียนประโยคยาวๆ ที่ทำให้เกิด Run-on sentence เราสามารถใช้ Period หรือจุด full stop ได้ และแบ่งเป็น Simple sentence หลายๆ ประโยคแทน เช่น

ตัวอย่าง Run-on sentence : I love studying English I would love to learn more about Grammar and Vocabulary.

วิธีแก้ไข Run-on sentence ด้วยจุด full stop : I love studying English. I would love to learn more about Grammar and Vocabulary

2. ใช้จุด Semicolon ในการเชื่อมสองประโยคเข้าด้วยกัน

ตัวอย่าง Run-on sentence : I love studying English I would love to learn more about Grammar and Vocabulary.

วิธีแก้ไข Run-on sentence ด้วยจุด semicolon : I love studying English; I would love to learn more about Grammar and Vocabulary

3. สร้าง Compound sentence

เราสามารถแก้ Run-on sentence ได้ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างประโยคด้วย Compound sentence ผ่านการใช้ Subordinating conjunction ร่วมกับการใช้ comma ครับ เช่น

ตัวอย่าง Run-on sentence : I love studying English I would love to learn more about Grammar and Vocabulary.

วิธีแก้ไข Run-on sentence ด้วยการสร้าง Compound sentence :

I love studying English, and I love to learn more about Grammar and Vocabulary

4. สร้าง Complex sentence

แทนที่เราจะปล่อยประโยคให้เป็น Run-on sentence เราสามารถทำให้ประโยคกลายเป็น Complex sentence ได้ เช่น

ตัวอย่าง Run-on sentence : I love studying English I would love to learn more about Grammar and Vocabulary.

วิธีแก้ไข Run-on sentence ด้วยการสร้าง Complex sentence :

I love studying English because I love to learn more about Grammar and Vocabulary.

Comma splice ตัวอย่าง และวิธีแก้ไข

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ผมคิดว่า Comma splice ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วครับ เพราะวิธีการแก้ไข Run-on sentence กับ Comma splice แทบจะเหมือนกันเลยครับ 

  • แยกประโยค Simple sentence ผ่านการใช้จุด Full stop
  • ใช้เครื่องหมาย Semicolon
  • สร้าง Compound sentence
  • สร้าง Complex sentence

ตัวอย่าง Comma splice : I love studying English, I would love to learn more about Grammar and Vocabulary.

แก้ Comma splice ด้วย Simple sentence (จุด full stop) :  I love studying English. I love to learn more about Grammar and Vocabulary

แก้ Comma splice ด้วย semicolon:  I love studying English; I love to learn more about Grammar and Vocabulary

แก้ Comma splice ด้วยการสร้าง Compound sentence : I love studying English, and I love to learn more about Grammar and Vocabulary

แก้ Comma splice ด้วยการสร้าง Complex sentence : I love studying English because I love to learn more about Grammar and Vocabulary.

สรุปข้อผิดพลาดสุดฮิตในการเขียน essay : Sentence fragment กับ Run-on sentence และ Comma splice

ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้เก่งมากๆ ครับ Sentence fragment, Run-on sentence และ Comma splice สามารถแก้ไขได้ถ้าเราเข้าใจพื้นฐานที่ผมเล่ามาจนถึงตรงนี้

ผมเองก็เคยเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่มีปัญหากับเรื่องเหล่านี้ และก็ใช้เวลาศึกษาและฝึกฝนมาเรื่อยๆ และกลั่นกรองออกมาเป็นบทความนี้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครหลายๆ คนที่กำลังเริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองเหมือนกับผมครับ

สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้คือ “การฝึกฝนและลงมือทำ” ครับ ใช้ประโยชน์จากบทความนี้ให้ดีที่สุดครับ ฝึกฝน ลองนำไปใช้ แล้วการเขียน essay ของเราจะถูกหลักไวยากรณ์แบบมีนัยยะสำคัญมากๆ ครับ

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองนะครับ