Noun คืออะไร? รู้จักคำนามภาษาอังกฤษ [ฉบับละเอียด]

เลือกอ่านตามหัวข้อ

ถ้าถามว่าเรียน Grammar ต้องให้ความสำคัญเรื่องไหนละก็ ผมคิดว่า Noun หรือคำนามภาษาอังกฤษ เป็นเรื่อง Top 5 ที่ผมแนะนำให้ศึกษาอย่างละเอียดเลยครับ

Noun เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับหลากหลายหัวข้อในการเรียนภาษาอังกฤษครับ และนั่นทำให้ถ้าเราไม่เข้าใจคุณสมบัติสำคัญต่างๆ ของคำนามภาษาอังกฤษละก็ การจะได้คะแนนสอบที่ดี หรือการใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ดี จะกลายเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากครับ

ดังนั้น Jasper & Reader เลยอยากจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจกับ Noun ให้มากขึ้น

  • Noun คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร
  • Noun มีอะไรบ้าง มีกี่ประเภท มีความเชื่อมโยงกันยังไง
  • หลักการของ Noun นำไปใช้ยังไงได้บ้าง

ถ้าอยากรู้เรื่อง Noun มากกว่านี้ต้องอ่านต่อ! มาเริ่มกันเลยครับ

Noun คืออะไร?

Noun คือ คำที่ใช้เรียกสิ่งที่จับต้องได้อย่างชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ไปจนถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างอารมณ์ ความคิด เป็นต้น ซึ่งเรื่องสำคัญเกี่ยวกับ Noun ที่เราต้องรู้มีอยู่ทั้งหมด 3 เรื่องครับ

1. ความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ 

ถ้าเราเรียน Parts Of Speech มาระยะนึงแล้ว เราจะรู้ว่าไม่มีคำประเภทอื่นๆ เลยนอกจาก Noun และ Verb ที่ผูกพักกับความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ครับ 

ความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ของคำนามมีผลอยู่ 3 เรื่องครับ

  • เราต้องเติม determiner อย่าง article a/an กับ Noun ที่เป็นเอกพจน์
  • เราจะต้องเติม s/es กับคำนามภาษาอังกฤษที่เป็นพหูพจน์
  • คำกริยาภาษาอังกฤษจะผันตามความเป็นเอกพจน์และพหูพจน์ของคำนามที่เป็นประธาน เช่น Students study English หรือ A student studies English

ดูเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แต่เป็นเรื่องที่ยากสุดๆ เลยนะครับ ผมมักจะเจอหลายคนบ่นเรื่องนี้เสมอเวลาในข้อสอบว่าสับสนสุดๆ แต่นั่นเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะท่องจำเทคนิคไปสอบมากกว่า ไม่ได้เข้าใจคุณสมบัติของ Noun จริงๆ ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าเราเข้าใจคุณสมบัติตรงนี้จะช่วยทำให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมากๆ ครับ

2. ถูกขยายโดยคำคุณศัพท์อย่าง Adjective ได้

อีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญเลยครับ เพราะไม่มีคำประเภทไหนถูกขยายด้วย Adjective ได้นอกจากคำนามครับ เช่น A gorgeous girl เป็นต้น

3. ทำหน้าที่ได้หลายอย่างทั้งประธาน กรรม และคำคุณศัพท์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งในประโยค

คำนามสามารถทำหน้าที่ในประโยคได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มันอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นประธาน (Subject), กรรมหลัก (Direct Object), กรรมรอง (Indirect Object) รวมถึงยังทำหน้าที่เป็น Noun as adjective หรือคำนามที่ทำหน้าที่เป็นคำคุณศัพท์ได้ด้วย

นอกจากนี้ Noun ที่ภาษาไทยเรียกว่า “คำนาม” จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็นคำ แต่ยังสามารถเป็นวลีหรืออนุประโยคได้ ซึ่งในภาษาอังกฤษเราจะเรียกว่า phrase กับ clause ครับ ตัวอย่างเช่น

Learn I English
เรียนฉันภาษาอังกฤษ

The importance of learning English cannot be overstated.

I am interested in hearing what she said about learning English.

ประโยคที่เป็นตัวหนาทั้งหมดคือ Phrase และ Clause ที่ทำหน้าที่เป็น Noun ครับ อย่าง The importance of learning English ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยคเลย ไม่ใช่แค่ Learning English หรือ The importance of ในขณะที่ What she said about learning English เป็น Noun clause ทำหน้าที่เป็นกรรมหลักของประโยคนั่นเอง

การเข้าใจคุณสมบัติทั้งหมดนี้ทำให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษมากขึ้น และประยุกต์ใช้ได้ดีขึ้นมากๆ ครับ ทีนี้ก็จะเป็นกฏยิบย่อยของ Noun แต่ละตัวครับ เรามีมาดูกันเลยว่า Noun ทั้งหมดมีอะไรบ้าง

Noun มีอะไรบ้าง ?

  • Common Noun
  • Proper Noun
  • Collective Noun
  • Concrete Noun
  • Abstract Noun
  • Countable Noun (คำนามนับได้)
  • Uncountable Noun (คำนามนับไม่ได้)
  • Possessive Noun

แต่ถามว่า Noun ทั้ง 8 ประเภทนี้ มีความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ยังไง? ผมคิดว่าการเข้าใจความเชื่อมโยงของคำนามภาษาอังกฤษ แต่ละประเภทจะช่วยให้เราเข้าใจการใช้ Noun มากขึ้นแบบสุดๆ ครับ 

เวลาเราจำแนกประเภทของ Noun เราสามารถแบ่งได้หลักๆ 3 หมวดคือ แบ่งตามความหมาย, แบ่งตามการนับ, แบ่งตามวิธีผัน

เราแบ่งความหมายของคำนาม (Type of Noun) จะแบ่งได้ 5 ประเภท คือ Common Noun, Proper Noun, Collective Noun, Concrete Noun และ Abstract Noun

ถ้าแบ่งตามการนับของคำนาม (Number of Noun) จะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ Countable Noun และ Uncountable Noun

และสุดท้าย ถ้าเราแบ่งตามวิธีผันของคำนาม จะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ Regular Noun และ Irregular Noun

ส่วนตัวผมคิดว่าการจัดคำนามแบบนี้ต้องจำค่อนข้างเยอะ และผมคิดว่าเราจะไม่ได้เข้าใจความสัมพันธ์ของคำนามแต่ละประเภทมากนัก ส่วนตัวผมมีวิธีการแยกอีกแบบ แต่ก่อนจะไปดูว่าแบ่งยังไง เราลองไปทำความรู้จัก Noun แต่ละแบบกันก่อนดีกว่าครับ

1. Common Noun

Common Noun คือ คำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ โดยทั่วไป รวมถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติหลักๆ 4 อย่างคือ

  • ไม่ต้องใส่ตัวพิมพ์ใหญ่ จะเป็นตัวใหญ่ก็ต่อเมื่ออยู่ตำแหน่งแรกของประโยคเท่านั้น
  • มักมี Determiner อย่าง Article a/an/the ยกเว้น Noun เป็นพหูพจน์ เช่น A dog, Dogs
  • สามารถถูกขยายได้ด้วย Adjective เช่น A Gorgeous girl.
  • Common Noun สามารถเป็นได้ทั้ง Countable Noun และ Uncountable Noun (เราจะลงลึกกันเรื่องนี้ในส่วนข้อ 7-8 ครับ)

2. Proper Noun

Proper Noun คือ ชื่อเฉพาะเจาจงของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ไปจนถึงนามธรรม ซึ่งมีคุณสมบัติสามส่วนหลักๆ ที่แตกต่างจาก Common Noun นั่นก็คือ

  • ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ (Capital Letter) เช่น ชื่อคนอย่าง Barack Obama
  • มักไม่มี Determiner อย่าง Article a/an/the เช่น Songkran is my favorite holiday.
  • แต่จะมีบางกรณีที่เราต้องเติม Article อาทิชื่อองค์กรและชื่อประเทศ เช่น The United State of America
  • Proper Noun บางตัวมี The เป็นส่วนนึงของชื่อจึงต้องขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ เช่น The New York Times ครับ

Proper Noun มักจะถูกนับว่าเป็นคำนามนับไม่ได้ เพราะนับไม่ได้ เลยนับว่ามันมีเพียงหนึ่งเดียวครับ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเติม s หรือ es ในตัว Proper Noun เพื่อบอกว่าคำนามนี้เป็นคำนามเอกพจน์หรือพหูพจน์นั่นเองครับ

3. Collective Noun

Collective noun คือ คำนามรวมหมู่ใช้เรียกชื่อกลุ่มคน กลุ่มของสัตว์ กลุ่มของสิ่งของ อะไรก็ตามที่สามารถจัดเป็นหมวดหมู่รวมกันได้ 

Noun ชนิดนี้เป็นได้ทั้ง Common noun เช่น Group, Band, Pack, Team, Company, Team, Audience และ Proper Noun อย่างชื่อองค์กร ชื่อบริษัท ไปจนถึงชื่อวงดนตรี เช่น Google, IBM, BLACKPINK

Collective Noun เป็นได้ทั้งเอกพจน์หรือพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้ว่าต้องการกล่าวถึงแค่คนหนึ่งคนใน Collective Noun หรือ Collective Noun โดยรวม เช่น

Today, the committee decides the fate of John’s proposal.

John’s proposal is so unusual that the committee are scratching their heads and furtively glancing at each other in surprise.

ตัวอย่างที่ 1 เราใช้คำกริยาเติม s (decides) เพราะผู้เขียนมองว่า the committee เป็นคำนามเอกพจน์ที่หมายถึงกลุ่มคนโดยรวม ในขณะที่ตัวอย่างที่ 2 เราใช้คำกริยา are ซึ่งแปลว่า the committee เป็นพหูพจน์ เพราะผู้เขียนมองว่ามี คนใน Committee หลายคนรู้สึกประหลาดใจกับข้อเสนอของจอห์นนั่นเองครับ 

4. Concrete Noun

Concrete Noun คือ คำนามที่เราสามารถรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็นจากการมองเห็นด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ เช่น books, sugar โดยคุณสมบัติเหมือนกับ Common Noun ทุกประการเลยครับ

นอกจากนี้ยังมีหนึ่งในประเภทของ Common Noun นั่นก็คือ Material Noun ซึ่งเป็นคำนามภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างสิ่งของ เช่น wood sand cement

ถ้าเราอ่านหลายๆ เว็บจะเจอว่า Material Noun ถูกแยกออกมาเป็นอีกคำนามภาษาอังกฤษอีกประเภท เพราะ Material Noun มักจะเป็น Uncountable Noun และมีวิธีการใช้ที่แตกต่างจาก Concrete Noun เล็กน้อย 

แต่จริงๆ Material Noun ไม่ใช่หัวข้อใน Grammar ซะทีเดียวครับ ดังนั้นเรามักจะรวบเจ้า Material Noun เข้าเป็น Concrete Noun เลยซะมากกว่า

5. Abstract Noun

Abstract Noun คือ คำนามของสิ่งที่เป็นนามธรรมจับต้องไม่ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างเช่น ความคิด ความรู้สึก 

Abstract Noun มักอยู่ในรูปแบบของ Uncountable Noun (แน่นอนสิ จะหยิบความรู้สึกมานับได้ยังไง!) เช่น She needs to find some inspiration.

หลังจากที่เราอ่านมาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนอ่านเจอคำอย่างคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้ (Countable Noun และ Uncountable Noun) มากันเยอะแล้ว เรามาทำความรู้จักสองอย่างนี้กันอย่างละเอียดกันเลย เพราะคุณสมบัติส่วนนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากของ Noun ครับ

6. Countable Noun (คำนามนับได้)

Countable Noun คือ คำนามที่สามารถนับได้ ตรงตัวเลยครับ ไม่ว่าจะนับได้ตั้งแต่ 1 จนไปถึงหลักล้าน แต่ถ้านับได้ก็คือคำนามนับได้ครับ โดยคุณสมบัติของคำนามนับได้คือ ความเป็นเอกพจน์ (Singular) และความเป็นพหูพจน์ (Plural) ครับ

Singular Noun

Singular Noun คือ คำนามเอกพจน์ Noun ที่มีเพียงชิ้นเดียว จำนวนเดียวเป๊ะๆ ซึ่งคุณสมบัติของคำนามเอกพจน์ก็คือ จะต้องเติม article a/an/the เช่น a student, the tower, an umbrella

Plural Noun

Plural Noun คือ คำนามพหูพจน์ คำนามนับได้ที่มีจำนวนตั้งแต่สองชิ้นเป็นต้นไป โดย Plural Noun ไม่จำเป็นต้องใช้ determiner อย่าง a/an/the แต่จะเติม s (หรือ es) ต่อคำนามนับได้ เช่น cats, dogs, books ครับ

สิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับ Singular Noun และ Plural Noun คือเรื่อง Subject-verb agreement การใช้ประธานที่เป็นคำนามให้สอดคลองกับคำกริยาตามหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษครับ ถ้าประธานเป็นคำนามเอกพจน์ กริยาต้องเติม s/es นั่นเองครับ แต่ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์เรา คำนามจะต้องเติม e/es แต่คำกริยาจะคงรูปเดิมครับ

Regular Noun และ Irregular Noun

ไม่ใช่ทุกคำนามจะเติม s แบบปกติใช่ไหมครับ ถ้าคำนามเติม s แบบปกติเราจะเรียก Regular Noun แต่ถ้าคำนามแบบแปลกๆ เช่นต้องเติม es แทน s หรือเปลี่ยนรูปเป็นคำแปลกๆ ไปเลย เราจะเรียกคำนามแปลกๆ นี้ว่า Irregular Noun ครับ

Regular Noun: Book, Books

Irregular Noun: 1) Goose, Geese 2) Knife, Knives 3) Enemy, Enemies

7. Uncountable Noun (คำนามนับไม่ได้)

Uncountable Noun คือ คำนามที่ไม่สามารถแบ่งออกเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เราสามารถ “นับ” มันได้ ครับเช่น เราไม่สามารถนับ “น้ำชา” (Tea) ได้ เพราะเราแยกองค์ประกอบมานับไม่ได้ 

แต่ว่าเราสามารถนับ “แก้ว” ได้ใช่ไหมครับ (A cup of tea) แค่เราไม่สามารถนับตัวน้ำชาได้นั่นเองครับ ดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญของ Uncountable Noun คือ ไม่สามารถเป็นพหูพจน์ได้ เพราะเราไม่สามารถนับมันได้มากกว่าหนึ่งนั่นเอง เพราะฉะนั้น คำนามนับไม่ได้มักจะไม่เติม s/es ครับ 

แต่ปีศาจร้ายแห่งวงการคำนามภาษาอังกฤษอย่าง Uncountable Noun ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เพราะเป็นคำนามที่มีข้อยกเว้นมากมาย และเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนปวดหัวสุดๆ ซึ่งลักษณะจะคล้ายๆ Collective Noun เช่น  

This species is found in coastal waters around the Indian Ocean.

จริงๆ แล้ว water เป็น Uncountable Noun ครับ แต่ทำไมอันนี้ถึงเติม s ละ? คำตอบคือ เมื่อเราพูดถึงแหล่งน้ำที่เฉพาะเจาะจง เราจะต้องเติม s และนี่เองที่ทำให้เรื่องคำนามน่าปวดหัวสุดๆ

8. Possessive Noun

Possessive Noun คือ คำนามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเจ้าของ สังเกตง่ายๆ จากการเติม -’s ท้ายคำนามภาษาอังกฤา เช่น Jasper’s book

Noun ใช้อย่างไร? Noun ทําหน้าที่อะไร ได้บ้าง?

คำนามใช้เรียกคนสัตว์ สิ่งของ สถานที่ สิ่งต่างๆ ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ไปจนถึงความรู้สึกและแนวคิดที่นามธรรมต่างๆ ซึ่งเป็นได้ทั้งประธาน คำคุณศัพท์ กรรมหลัก และกรรมรองในประโยคครับ

แต่การเข้าใจ Noun แบบแบ่งแยกเป็นหมวดๆ ไม่ได้ช่วยให้เราใช้มันได้ดีเลยใช่ไหมครับ? อ่านมา 7 – 8 ประเภทของคำนามภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เข้าใจมากขึ้นสักเท่าไหร่

ดังนั้นผมเลยคิดเป็นขั้นตอน คล้ายๆ กับแนวทางให้เราใช้ Noun ได้ดีขึ้น เข้าใจความเชื่อมโยงของคำนามแต่ละหมวดมากขึ้น ผมจะลองสมมติว่าผมอยากเขียนประโยคด้านล่างนี้เป็นภาษาอังกฤษครับ

“นักเรียนคนนึงมีความมุ่งมั่นๆ สุด ที่จะสอบ IELTS ให้ผ่าน เธอเลยตัดสินใจเข้าชมรมการเขียน”

ถ้าเราอยากลองเขียนประโยคนี้เป็นภาษาอังกฤษ สิ่งที่เราต้องคำนึงเกี่ยวกับ Noun คือ

1. เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อและเลือกรูปแบบโครงสร้างประโยค

อย่างที่เรารู้กันครับว่า Noun เป็นได้หลากหลาย ทั้งประธาน กรรมหลัก กรรมรอง ไปจนถึงคำคุณศัพท์ ทำให้ประโยคที่เราเขียนสามารถเป็นได้หลากหลายรูปแบบครับ เช่น

A student is determined to pass the IELTS test, so she decided to participate in a writing club. 

An ambitious student want to pass the IELTS exam. Thus, she decided to participate in a writing club. 

ความหมายค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่เขียนต่างกันพอสมควรเลยใช่ไหมครับ แต่ทำไม student อันนึงใช้ A อีกอันใช้ An กัน แล้วทำไม writing ถึงมี a ก่อนหน้า 

คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ที่ตำแหน่งของคำนามในประโยคครับ

อย่างที่ผมบอกไปว่า คำนามภาษาอังกฤษสามารถทำหน้าที่เป็นประธาน (Subject), กรรมตรง (Direct Object), กรรมรอง (Indirect Object), และคำคุณศัพท์ (Noun as Adjective) ใช่ไหมครับ?

ในกรณีนี้ Student เป็นประธาน และ Student เป็นคำนามนับได้

ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าเราต้องการสื่ออะไร ถ้ากำลังจะพูดถึงนักเรียนคนเดียว หรือ นักเรียนที่ไม่ได้เจาะจงบุคคล เราจะใช้ A student ครับ แต่ถ้าพวกถึงนักเรียนหลายๆ คน เราจะเติม s กลายเป็น students แทนนั่นเอง แต่ในกรณีนี้เราต้องการพูดถึงนักเรียนที่ไม่ได้เจาะจงคนครับ จึงต้องเติม Article อย่าง A นั่นเอง

2. ดูศัพท์รอบๆ Noun

ทีนี้สองตัวอย่างที่กำลังดูกันอยู่นี้ ตำแหน่งของ Student ต่างกัน อันนึงไม่มี Adjective อันนึงมี

ซึ่งนั่นส่งผลต่อการเติม a/an/the ครับ เพราะ determiner อย่าง article a/an/the จะเปลี่ยนไปตาม Adjective ที่ขยายคำนามนั้นๆ ครับ ดังนั้น A student พอมีคำว่า Ambitious มาคั่นกลาง จึงกลายเป็น An ambitious student นั่นเอง

3. ดูประเภทของ Noun 

ในประโยคนี้ เราพอจะเดาออกว่า A Student เป็นคำนามแบบ Common Noun ในประเภท Concrete Noun นั่นก็คือ คำนามทั่วไปไม่เจาะจง แต่สามารถจับต้องได้ รวมถึงมีคุณสมบัติแบบคำนามนับได้ (Countable Noun) ใช่ไหมครับ ไม่ยากอะไร 

แต่ในส่วนของ writing club นั้น จริงๆ แล้วทั้งคำว่า writing และ club เป็น Noun

แต่เอ๊ะ! ถ้าดูดีๆ แล้ว writing เป็นคำนามภาษาอังกฤษที่ทำหน้าที่เป็น Adjective ขยาย club ดังนั้น เราจึงรู้ว่านี่คือชมรมการเขียนนั่นเอง 

นอกจากนี้ คำศัพท์คำว่า “club” จริงๆ แล้วเป็น Collective Noun ที่สามารถเป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ขึ้นอยู่กับบริบทที่เราต้องการสื่อครับ ซึ่งในที่นี้เราต้องการสื่อสารแค่ว่านักเรียนคนนี้เข้าชมรมการเขียน แต่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นชมรมไหน หรือเจาะจงกลุ่มคนในชมรม ดังนั้นจึงเติม A ก่อน writing club นั่นเองครับ

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ผมสรุปเป็น Flow chart การคิดได้ตามรูปนี้ครับ

  • ดูประเภท Noun เป็น Concrete, Proper, หรือ Collective
    • Concrete หรือ Abstract
      • Countable หรือ Uncountable
        • Singular หรือ Plural
        • Regular vs Irregular

สรุป Noun คำนามภาษาอังกฤษ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับหัวข้อ Noun สำหรับผมแล้วเป็นหนึ่งในหัวข้อสำคัญมากๆ (และยากมากๆ) ในการเรียนภาษาอังกฤษเลยครับ เพราะหลากหลายแนวคิดไม่มีในภาษาไทย แถมยังข้องเกี่ยวกับหลากหลายหัวข้อสุดๆ แต่ผมเชื่อว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่อง Noun มากขึ้นนะครับ

แต่ถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษมากกว่านี้ละก็ผมแนะนำให้อ่าน 3 เรื่องถัดไปนี้ดูครับ เพราะเกี่ยวข้องกันค่อนข้างเยอะ หรือจะเลือกอ่านลงลึกต่อเรื่อง Noun ต่อก็ได้

หรือถ้าใครอยากอ่านเป็นหนังสือเลย ผมมีรีวิวหนังสือ Grammar อยู่ แนะนำให้ลองอ่านดูครับ เผื่อมีอันไหนที่ตอบโจทย์ครับ

อ่านต่อเลย ถ้าอยากเข้าใจ Noun มากขึ้น