เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย กับ Roadmap เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 สู่ 100

เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ผู้ใหญ่ก็เรียนได้ นักเรียนก็เรียนดี ด้วย Roadmap ที่ช่วยให้ทุกคนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 สู่ 100 แม้ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย 

แชร์เก็บไว้เลย !

Roadmap เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย เริ่มยังไง

  1. เปลี่ยน Passion เป็นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เช่น อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ดูซีรีย์เป็นภาษาอังกฤษ
  2. เข้าใจภาพรวมไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ
  3. ซึมซับศัพท์ภาษาอังกฤษจาก Passion ของเรา
  4. รวมทุกสิ่งที่รู้ ประกอบเป็นประโยคภาษาอังกฤษ
  5. ฝึกให้ถูกวิธี ฝึกให้ต่อเนื่อง

Roadmap เรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 สู่ 100 เกิกจากตอนที่ผมยอมเสี่ยงลาออกจากงานประจำมาเตรียมสอบ GRE เพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ 

แต่ผลปรากฏว่า ผมสอบไม่ผ่านเลยทั้ง 2 ครั้ง เสียเงินเป็นหมื่น สอบครั้งแรกและครั้งที่สองได้คะแนนเท่าเดิม และเสียโอกาสจากการว่างงานนานเกือบปี กว่าจะกลับไปได้งานใหม่อีกครั้งลากเลือดมาก

ผมได้เรียนรู้ว่า จริงๆ แล้ว เทคนิคที่เรียนมาพาเราไปได้ไม่ไกลถึงฝัน พอข้อสอบเปลี่ยนปุ้บ เราก็ทำอะไรต่อไม่ได้ ผมรู้ทันทีว่า การไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยมีผลต่อการทำข้อสอบขนาดไหน 

ผมยังได้เรียนอีกว่าผมวางแผนการเรียนของตัวเองไม่ดีพอ ไม่รู้ต้องเรียนอะไรก่อนหลัง ไม่รู้ว่าควรจะฝึกแบบไหนถึงมีประสิทธิภาพ ผมฝึกไปเล่นไป ไม่มีสมาธิ เล่นโซเชียลมีเดีย นั่งท่องศัพท์ไปแบบไร้จุดหมาย ทำให้ผมไม่ได้ไปเรียนต่อ และกลับมาหางานแทน

ผมค่อนข้างโชคดีที่ยังหางานได้ และทำงานได้สักพัก ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ครั้งนี้ผมมีแผน ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย อย่างจริงจัง ศึกษาตั้งแต่แรกสุด ผมฝึกเป็นระบบมากขึ้น และไม่ได้พึ่งแค่เทคนิค 

จากเดิมที่ผมไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย ตอนนี้พื้นฐานภาษาอังกฤษผมแข็งแรงขึ้นและกำลังเตรียมตัวไปสอบอีกครั้ง ไว้ผมจะมาให้ฟังนะครับ ผมเชื่อว่าแผนที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้จะมีประโยชน์กับทุกคนครับ

Roadmap นี้ไม่ใช่ยาวิเศษที่ช่วยให้ทุกคนอยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐานเลย ให้เก่งได้ได้ใน 7 วัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าแผนนี้จะกินเวลาเป็นสิบๆ ปี เหมือนที่เราเรียนกันในระบบการศึกษาไทยที่แทบไม่ได้สอนอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้เรานะครับ

การที่เราไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย แม้จะใช้เวลากับมันมานานเกือบครึ่งชีวิตนั้นไม่ใช่ความผิดเราเลยครับ ผมเชื่อว่าทุกคนพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่หลายอย่างไม่ได้อำนวยให้เราได้ใช้ภาษาอังกฤษอย่างจริงๆ จังๆ และนั่นทำให้เราเหมือนไม่เก่งภาษาอังกฤษสักที

แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมครับ เรามีแผนการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐาน ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนที่อยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐานลองทำตาม และทำความเข้าใจหัวข้อเหล่านี้ เราจะเข้าใจพื้นฐานภาษาอังกฤษมากขึ้นครับ

เพราะภาษาอังกฤษก็เหมือนวิชาอื่นๆ ถ้าเราอยากเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผล เราต้องมีแรงผลักดัน เรียนให้ถูกวิธี เรียนอย่างมีแบบแผน และใช้เวลาทุ่มเทฝึกซ้อม

และแผนนี้จะช่วยให้เราเก่งภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา เสียโอกาส อย่างที่ผมเจอมา ผมใช้ Roadmap นี้แล้วเห็นผล ผมหวังว่าจะได้ผลกับทุกคนด้วย และที่สำคัญที่สุดเลย ผมเชื่อทุกคนที่อยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐานจะสนุกกับ Roadmap นี้ เรามาเริ่มกันเลยครับ

1. เปลี่ยน Passion เป็นการเรียนรู้ เปลี่ยนสิ่งรอบตัว ให้เป็นการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย

ขั้นตอนแรกสุดของการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย คือ เลือกสิ่งที่เราสนใจให้เป็นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินว่า ถ้าไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย แล้วอยากเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 ให้ลองเรียนภาษาอังกฤษการดูหนังหรือการเล่นเกม จะช่วยให้เราเก่งอังกฤษมากขึ้น 

ซึ่งถามว่าได้ผลจริงไหม ? คำตอบคือ ได้ผลจริงครับ แถมมีผลวิจัยรับรองด้วยนะ เราเรียกการเรียนแบบนี้ว่า Contextual Learning ครับ คือการเรียนรู้ผ่านบริบทต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา

เราเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเมื่อเรารู้สึกอินกับมัน เราจะมีแรงกระตุ้นในการเรียน ขวยขวาย ทำความเข้าใจ และหาคำตอบให้กับสิ่งที่เราเรียน เพราะเราสนุกไปกับมัน และนั่นทำให้การเรียนภาษาอังกฤษผ่าน Passion ของเราเป็นสิ่งที่ช่วยได้มากๆ

เหมือนกับที่เราจำฉากหนังในดวงใจว่าพระเอกพูดอะไรกับนางเอกในฉากโรแมนติก ไปจนถึงจูบแรกในชีวิตเราของว่ารู้สึกแบบไหน 

สิ่งที่เราควรทำคือ ถ้าเราดูซีรีย์ต่างประเทศที่เราชอบเป็นซับไทยอยู่ ก็เปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษซะ ถ้าเราดูยูทูปเบอร์ไทยรีวิว iPhone ก็เปลี่ยนไปดูยูทูปเบอร์ฝรั่งบ้างเป็นครั้งคราว

ดังนั้น ผมแนะนำว่า ถ้าอยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน ให้ลองเอาภาษาอังกฤษผสานกับสิ่งที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว จะช่วยให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้น รู้สึกว่าการเรียนภาษาอังกฤษสนุกมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะเก่งภาษาอังกฤษจากการซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ ทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ทรมานเหมือนนั่งเรียนในห้องเรียนครับ

2. เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย หัวข้อแรกสุดที่ต้องรู้ คือ ไวยากรณ์พื้นฐาน

ถ้าใครเรียนแกรมม่ามานาน แต่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ มันคืออะไร เราคือเพื่อนกันครับ

ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 คือ ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย จนถึงตอนนี้ ผมรู้สึกว่าไวยากรณ์ยังเป็นปริศนาสำหรับผมมากๆ เพราะ แกรมม่ามันกว้างซะจนเราไม่รู้จริงๆ ว่ามันคลอบคลุมไปถึงเรื่องไหนบ้าง

แต่ผมเจอหนังสือเล่มนึงที่พอจะให้ความหวังกับผมได้บ้าง ผมพยายามหาความสัมพันธ์ของแกรมม่ากับการเรียนภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีเล่มไหนอธิบายได้ดีเท่ากับ Oxford Modern Grammar โดย Bas Aart แล้วครับ

หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าวิชาการขั้นสุด แต่มันทำให้ผมเข้าใจแกรมม่าจริงๆ ว่ามันคืออะไร อธิบายถึง “ที่มา” ของแกรมม่าไ้เป็นอย่างดี และเล่าถึง “ทำไม” กฏแต่ละอย่างถึงเป็นแบบนั้น ซึ่งผมย่อยวิชาการยากๆ มาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจแบบง่ายๆ ตามด้านล่างนี้ครับ

สำหรับคนที่พึ่งเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย อย่างเราๆ สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับแกรมม่า คือ morphology และ syntax หรือเรื่องของ “คำ” นั่นเองครับ

ถ้าเทียบเรื่อง “คำ” ในภาษาอังกฤษ จะคล้ายกับ “วัตถุดิบ” ในการทำอาหาร เราต้องรู้ว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างทำหน้าที่อะไรได้บ้าง เช่น เป็นเครื่องปรุง เป็นมื้อหลัก หรือเป็นได้แค่เครื่องเคียง

ซึ่งหน้าที่ที่ว่านี้ ในภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Parts of Speech และเป็นเรื่องที่สำคัญระดับท็อป 3 ที่เราต้องเข้าใจ ถ้าอยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน

คำหนึ่งคำสามารถทำหน้าที่ หรือ Parts of Speech ได้หลากหลาย และในแต่ละหน้าที่ก็สื่อความหมายแตกต่างกันไป ผมพยายามจะสื่ออะไร? 

ผมว่าทุกคนน่าจะเคยเจอเหตุการณ์ที่ว่า เราเจอคำที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ แต่เจอครั้งนึงก็อีกความหมายนึง ไปเจออีกครั้งก็อีกความหมายซะงั้น นั่นเป็นเพราะว่า บางครั้งคำศัพท์ที่เราเจอแม้จะเป็นคำเดียวกัน หน้าตาเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกัน เพราะวางอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันและทำหน้าที่ Parts of Speech ต่างกันนั่นเอง

ผมขอยกตัวอย่างคำว่า “Work” ความหมายของคำว่า Work เปลี่ยนไปตามหน้าที่ (Parts of Speech) ของมันครับ ถ้า Work ทำหน้าที่เป็นคำนาม จะแปลว่างานที่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถ้าทำหน้าที่เป็นกริยา จะแปลว่า ทำงานที่เป็นการกระทำนั่นเอง

ตัวอย่าง parts of speech กับการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย

เราจะเรียกคำศัพท์โดยทั่วไปว่าเป็น Root Word หรือ Base Word ซึ่งมันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “รากศัพท์” และเจ้ารากศัพท์ที่ว่านี้จะสื่อความหมายอะไร ก็ขึ้นอยู่กับหน้าที่ (Parts of Speech) ที่รากศัพท์เหล่านั้นทำภายในประโยคด้วย

อีกสิ่งนึงที่เราต้องเข้าใจคือเรื่องของ Suffix ครับ เจ้า Suffix คือ พวกคำตามหลัง เช่น suffx -ing ซึ่งเป็นอีกองค์ประกอบนึงที่ช่วยให้เราเข้าใจหน้าที่ของคำได้มากขึ้น

กรณีของคำศัพท์ “Work” ถ้าเราใส่ suffix เข้าตรงท้าย work จะกลายเป็น working แปลว่า “การทำงาน” ซึ่งถ้าเราวาง working ไว้หลัง noun ก็จะกลายเป็น adjective ที่ขยายคำนามอีกที เช่น A working woman หรือ สาววัยทำงาน นั่นเองครับ

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะมันแกรมม่าก็ดูสำคัญนี่หน่า แต่ก็เคยได้ยินว่า ไม่ต้องซีเรียสกับแกรมม่ามากก็ได้ ไม่สำคัญขนาดนั้น ต่างชาติเองยังไม่เป๊ะเลย จะเรียนไปทำไมละ? 

ผมว่าเรื่องนี้ถูกแค่ส่วนเดียวครับ ถ้าเป็นการพูดคุยสื่อสารกัน แกรมม่าไม่ต้องเป๊ะมากก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมว่าเรายังต้องมีความเข้าใจในไวยากรณ์ในระดับนึงอยู่ดีนะครับ เช่น เรื่อง Tense ถ้าเราใช้ผิด Tense คนฟังจะเข้าใจลำดับของเหตุการณ์ผิดได้ 

ท้ายที่สุดแล้ว การสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และนั่นทำให้การเรียนภาษาอังกฤษ ต้องใช้ Grammar เป็นรากฐานให้เราสื่อสารกันได้นั่นเอง และถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษจาก 0 แกรมม่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากครับ 

บทความแนะนำ

 

3. Vocabulary

อยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน อย่าเริ่มจากการท่องศัพท์ครับ เพราะ วิธีการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ที่ดีที่สุดคือการเข้าใจคำศัพท์จากบริบท

ถ้าเราอยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน แล้วท่องศัพท์ไปเรื่อยเปื่อย เราก็จะลืมๆ มันไป ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ดังนั้นการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ผ่านการผสมผสานภาษาอังกฤษเข้ากับ Passion ของเราจึงเป็นสิ่งที่ดีกว่ามากๆ ได้ทั้งศัพท์และบริบทในการใช้ศัพท์เหล่านั้นด้วย

ผมจะเห็นหลายๆ ที่มักจะแนะนำให้เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ จาก 0 ด้วยการท่อง Oxford 3000 ซึ่งเป็นเหมือนกับคลังคำศัพท์ 3000 คำพื้นฐานที่เจอบ่อยๆ และต้องรู้ ซึ่งส่วนตัวผมค่อนข้างเฉยๆ กับวิธีนี้นะครับ ไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนขนาดนั้น

แต่แน่นอนว่าคำศัพท์ในโลกนี้ไม่ได้อยู่แค่เฉพาะสิ่งที่เราชอบแน่ๆ ดังนั้นถ้าเราเก่งภาษาอังกฤษจาก 0 เราต้องพาตัวเองไปเจอคำศัพท์ใหม่ๆ และต้องไปให้ไกลกว่าสิ่งที่เราชอบ

สิ่งที่ผมแนะนำ คือ ถ้าเราเริ่มคุ้นชินกับการเรียนรู้ผ่าน Passion ของเราแล้ว ให้เราจริงจังกับมันมากขึ้นโดยการขยับไปหาสิ่งใหม่ๆ บ้าง ซึ่งผมแนะนำ 2 ทางเลือก คือ

#1 ฝึกภาษาอังกฤษจากการอ่านช่วยให้เราเข้าใจบริบทการใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก ๆ

ทุกคนสามารถเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ผ่านการฝึกอ่านภาษาอังกฤษได้จากการอ่านข่าวกับอ่านหนังสือครับ

ข้อเสียคือถ้าใครไม่ชอบอ่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะเริ่มต้นค่อนข้างยากสักหน่อย แต่ถ้าเราอ่านในสิ่งที่เราสนใจ ผมว่าก็ไม่ยากเกินไปครับ เมื่อก่อนผมเองก็ไม่ชอบอ่านเหมือนกัน แต่เริ่มจากสิ่งที่สนใจ ทุกวันนี้ถึงกับซื้อ Kindle ที่เป็นเครื่องอ่าน E-book ไว้อ่านหนังสือเลยทีเดียว

ผมแนะนำให้เลือกหัวข้อที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราชอบ เช่น ถ้าเราชอบดูรีวิวโทรศัพท์จาก YouTuber ก็ลองอ่านข่าวต่างประเทศที่เล่าเกี่ยวกับโทรศัพท์ ถ้าเราชอบเล่นเกมแนว Sci-fi ก็ลองอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ดู ก็เป็นตัวเลิอกที่น่าสนใจครับ

บทความแนะนำ

 

4. ประโยคภาษาอังกฤษ จิ๊กซอชิ้นสุดท้ายของการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย

สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย การเขียนเป็นเหมือนกับไฟนอลบอสของการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลยครับ แต่ถ้าเอาชนะมันได้ จะเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ดีมากๆ ว่า เราไปไกลกว่าพื้นฐานแล้ว

ภาษาอังกฤษมีสิ่งที่เรียกว่า “การเรียงลำดับคำ” หรือที่เรามักเจอคุณครูเรียกกันว่า “Word order” ครับ หากจะสื่อสารให้รู้เรื่อง เราต้องเรียงคำออกมาเป็นประโยคให้ถูกต้อง

เช่น ถ้าเราเขียน Love you I จะงงเลยใช่ไหมครับ เพราะว่ามันเรียงคำในประโยคผิด แต่ถ้าเป็น I love you แบบนี้ถึงเข้าใจความหมายใช่ไหมครับ?

ทุกครั้งที่เราเขียนประโยคขึ้นมา เราต้องรู้ว่าต้องว่าคำไหนควรอยู่ตรงไหน ตำแหน่งไหน ถึงสื่อสารกับอีกคนรู้เรื่อง เหมือนกับที่ผมเล่าก่อนหน้านี้เรื่องวัตถุดิบทำอาหาร ยิ่งเราผสมผสานวัตถุดิบได้ลงตัวเท่าไหร่ อาหารยิ่งออกมารสชาติกลมกล่อมมากเท่านั้น

ใครอยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน ผมแนะนำให้ศึกษาเรื่องนี้แบบจริงจังเลย เพราะเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับ Parts of Speech ที่เราคุยกันไปในช่วงแรกแบบตรงๆ เลยครับ

เราลองกลับมาที่การทำอาหารของเราอีกครั้งกันครับ เจ้า Word order ก็เหมือนสูตรปรุงอาหาร เช่น ถ้าเราอยากทำกะเพราไก่ไข่ดาว เราก็ต้องมีวัตถุดิบเป็นไก่ ใบกะเพรา พริก และไข่สักฟองใช่ไหมครับ แล้วค่อยนำวัตถุดิบเหล่านี้มาปรุงอาหาร

นอกจากสูตรปรุงอาหารจะบอกวัตถุดิบที่ใช้แล้ว ยังบอกว่าอะไรควรใส่ก่อนหลังด้วย เช่น ถ้าเราใส่วัตถุดิบบางอย่างเข้าไปก่อน รสชาติจะเป็นอีกแบบ ถ้าใส่ไปที่หลัง รสชาติก็จะเป็นอีกแบบ ถ้าเราใส่ได้ถูกวิธีอาหารก็ออกมารสชาติดี 

การเรียงลำดับคำในภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน เราใช้คำมาเป็นวัตถุดิบและกำหนดหน้าที่ของคำในการปรุงประโยคให้ถูกหลัก และเรียงลำดับให้ถูกต้องตามสูตรนั่นเอง และการเข้าใจสิ่งนี้เหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการเก่งภาษาอังกฤษจาก 0 จนเก่งระดับทำงานบริษัทต่างชาติได้เลยครับ

การเรียงลำดับคำให้เป็นประโยคภาษาอังกฤษจะมีรูปแบบ (สูตรอาหาร) ที่เราจะเห็นได้บ่อยๆ อยู่ 2 รูปแบบ คือ

  • ประธาน + กริยา (Subject + Verb)
  • ประธาน + กริยา + กรรม (Subject + Verb + Object)

 

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น เราลองใช้ตัวอย่างคำศัพท์ “Work” อีกครั้งนึง แต่รอบนี้เราจะเอาเรื่อง Word order เข้ามาแทรกด้วย

เรารู้อยู่แล้วว่า คำศัพท์อย่าง Work มีหลายความหมาย แปลว่า งาน หรือ ทำงาน ก็ได้ ขึ้นอยู่ว่าเราให้ Work ทำหน้าที่ Parts of Speech ตัวไหน (คำนาม หรือ กริยา)

นั่นแปลว่า ถ้าเราอยากใช้ Work ให้ถูกความหมาย เราต้องวางมันในประโยคให้ถูกตำแหน่งใช่ไหมครับ? นี่แหละครับ เรื่องการเรียงลำดับคำถึงเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าอยากให้ Work แปลว่า ทำงาน ก็ต้องวางไว้ที่ตำแหน่ง กริยาในประโยค ถ้าอยากให้แปลว่างาน เราสามารถวางได้สองตำแหน่งคือ ประธาน หรือ กรรม ขึ้นอยู่กับเราต้องการสื่ออะไร

นอกจากนี้ Word order ยังช่วยให้เราเข้าใจความหมายของคำได้ดีขึ้นมากๆ เช่น The working hours are long. คำว่า Working ในที่นี้เป็นกริยาหรือเป็นอะไรกันนะ? สิ่งที่เราต้องเข้าใจเรื่องคุณสมบัติของคำนาม (Noun) และ Word order ครับ

อย่างแรกเลย เรารู้ว่า Word order คือ Subject + Verb ใช่ครับ พื้นฐานที่สุดแล้ว แปลว่า คำกริยาจะต้องอยู่ท้าย Subject เสมอ ดังนั้น Working จึงไม่ใช่คำกริยาแน่ๆ 

อย่างที่สองคือคุณสมบัติของ Noun ถ้าเราอยากขยาย Noun เราต้องวาง Adjective ก่อนหน้า Noun และเติม Suffix เข้าไปเพื่อให้มันสามารถทำหน้าที่ Part of Speech ได้ถูกต้อง ดังนั้น work จึงต้องเติม suffix -ing และวางในตำแหน่งก่อนหน้า Noun นั่นเอง ดังนั้น Working ในที่นี้คือ Adjective และเป็นประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ครับ

สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย พื้นฐานเรื่อง Word Order จะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้ได้อีกมากอย่างเช่น การเขียน essay, Compound sentence, Complex sentence, และ Compound-complex sentence ครับ ผมบอกได้เลยว่า เราไปได้ไกลกว่าแค่พื้นฐานภาษาอังกฤษแน่นอนครับ ถ้าเข้าใจได้ทั้งหมดนี้

บทความแนะนำ

 

5. เปลี่ยนการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ให้เก่งต้องฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าเราจะทำตาม Roadmap เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ที่ผมทำขึ้นมาอย่างตั้งใจ ถ้าขาดการฝึกฝน ท้ายที่สุดเราจะลืมมันไป

ดังนั้น สิ่งที่ผมแนะนำคือ ถ้าอยากเก่งภาษาอังกฤษ จาก 0 ต้องฝึกฝนทุกๆ วัน แบ่งเวลาสักหนึ่งชั่วโมงในการทบทวนและฝึกฝนตาม Roadmap ถ้าใครอยากให้การเรียนสนุก อาจจะใช้ Ipad เรียนคู่กับ Study Digital Planner ก็ได้ 

ถ้าใครอยากเก่งอังกฤษ แต่ไม่มีพื้นฐาน และไม่แน่ใจว่าควรวางแผนการเรียนยังไง ผมแนะนำให้อ่านบทความเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองด้านล่างนี้ครับ ผมวางแผนการเรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ฉบับศึกษาด้วยตัวเองใน 3 เดือนในรูปแบบของ Digital Planner และ Checklist รวมถึงหัวข้อที่ทุกคนต้องเข้าใจก่อนจะเริ่มฝึกพื้นฐานให้แข็งแรงครับ

ท้ายที่สุดนี้ Roadmap เรียนภาษาอังกฤษ ไม่มีพื้นฐานเลย ฉบับเริ่มเรียนภาษาจากอังกฤษจาก 0 สู่ 100 นี้เป็นเพียงเวอร์ชั่นแรกเท่านั้น และก็เป็นฉบับที่ใช้ได้ผลสำหรับผม แต่อาจจะไม่ได้เวิร์คสำหรับคนอื่น ดังนั้นถ้าใครเอาไปลองใช้แล้วไม่เวิร์คยังไงผมอยากให้ลองส่ง Feedback มาให้ผมด้านล่าง เพื่อที่ผมจะได้ช่วยออกแบบแผนการเรียนที่ได้ผลสำหรับทุกคนที่สนใจครับ 

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนช่วยให้ทุกคนเอาชนะกำแพงของภาษาอย่างง่ายดายและไม่เจ็บจี๊ดแบบที่ผมเจอมาครับ